รถดับเพลิง เป็นรถยนต์บรรทุกน้ำคันขนาดใหญ่มีสีแดงสะดุดตา มักจะเห็นวิ่งในยามที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยหน้าที่หลัก ๆ จะเป็นการปฏิบัติงานเกี่ยวกับน้ำคู่ไปกับนักดับเพลิงในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างไฟไหม้ ด้วยความสามารถในการฉีดน้ำด้วยแรงดันสูงทำให้สามารถกู้ผจญเพลิงได้รวดเร็ว พร้อมทั้งความสามารถที่สูบน้ำจากแหล่งน้ำได้หลายแหล่ง ทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติและทั้งแบบหัวจ่าย ทำให้รถดับเพลิงถือว่าสำคัญในการปฏิบัติงานที่สุดไม่แพ้กับนักดับเพลิงเลยทีเดียว
และสำหรับวันนี้เรา P.I.E Premium Modern Truck ก็ตั้งใจจะมาแชร์เทคนิคการใช้งานรถดับเพลิง ไว้เป็นความรู้และยังเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ในการทำงานของรถดับเพลิงอีกด้วย
วิธีการใช้งานจะมีเป็นขั้นตอน สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ดังนี้
1. สตาร์ทเครื่องยนต์ กดเปิด MAIN SWITCH ที่แผงสวิตช์ข้างคนขับ
2. เมื่อขับรถไปถึงที่หมาย จอดรถในจุดที่ปลอดภัย ดึงเบรกมือทุกครั้ง
3. เหยียบแป้นกดคลัทช์ให้สุดระยะ
4. กดเปิดสวิตช์ PTO บนแผงสวิชต์ด้านข้างคนขับ เพื่อเข้าเกียร์ปั๊ม (PUMP PTO) รอจนกว่าไฟแสดงสถานะว่าปั๊มน้ำพร้อมใช้งานติด (ไฟสีเขียวที่สวิตช์ติด) หรือรอประมาณ 3 วินาที
5. ค่อย ๆ ปล่อยแป้นกดคลัทช์ช้า ๆ จนสุดระยะ
6. ลงจากรถเพื่อไปกดเปิดสวิตช์หลักที่แผงควบคุมท้ายท้ายรถดับเพลิง (กดสวิตช์สีเขียว)
7. เปิดวาล์วส่งน้ำจากถังน้ำดับเพลิงเข้าปั๊มน้ำดับเพลิง โดยการหมุนวงล้อเปิดวาล์วน้ำสีดำในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
8. เร่งรอบเครื่องยนต์ให้มีความเร็วระหว่าง 1,200 – 1,500 รอบ/นาที โดยการหมุนคันเร่งด้านท้ายรถทวนเข็มนาฬิกา
9. ตรวจดูมาตรวัดแรงดัน ให้แรงดันน้ำอยู่ที่ 3 บาร์10. เปิดวาล์วส่งน้ำวนกลับถังบรรจุน้ำดับเพลิง โดยการยกคันโยกเปิดวาล์ว (สีแดง) ด้านซ้ายสุดขึ้น และปิดวาล์วส่งน้ำวนกลับถังทันทีเมื่อมีน้ำออกจากปืนฉีดน้ำแล้ว
11.เปิดวาล์วท่อส่งน้ำดับเพลิง โดยพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุว่าอยู่ทางด้านกราบขวา หรือกราบซ้ายของรถดับเพลิง การเปิดวาล์วท่อส่งน้ำดับเพลิงใช้วิธีการหมุนวาล์วสีเขียวทวนเข็มนาฬิกา (ท่อทางส่งน้ำดับเพลิงมีจำนวน 4 ท่อ ส่งน้ำออกด้านซ้าย และขวา ด้านละ 2 ท่อ)
12. ปิดวาล์วระบายน้ำทิ้ง (ยกคันโยกขึ้นให้ทำมุม 90 องศากับแนวท่อน้ำทิ้ง)
13. เร่งเครื่องยนต์ให้ได้กำลังดันน้ำตามที่ต้องการ โดยการหมุนคันเร่งด้านท้ายรถทวนเข็มนาฬิกา (กำลังดันน้ำต้องไม่เกิน 10บาร์ หรือรอบเครื่องยนต์ต้องไม่เกิน 3,000 รอบ/นาที เนื่องจากสายส่งน้ำดับเพลิงมีขีดจำกัดในการทนต่อแรงดันน้ำ หากใช้แรงดันน้ำมากกว่านี้อาจจะทำให้สายส่งน้ำดับเพลิงแตกได้)
14. เมื่อปฏิบัติเมื่อเลิกใช้งาน ลดความเร็วรอบเครื่องยนต์ให้เดินเบา โดยการหมุนคันเร่งด้านท้ายรถตามเข็มนาฬิกา
15. ขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เหยียบแป้นกดคลัทช์จนสุดระยะ และกดปิดสวิตช์ PTO บนแผงสวิชต์ด้านข้างคนขับเพื่อปลดเกียร์ปั๊ม (PUMP PTO)16. รอประมาณ 3 วินาที จึงค่อยๆ ปล่อยแป้นกดคลัทช์ช้าๆ จนสุดระยะ
17. ลงจากรถเพื่อไปกดปิดสวิตช์หลักที่แผงควบคุมท้ายท้ายรถดับเพลิง (กดสวิตช์สีแดง)
18. ปิดวาล์วส่งน้ำจากถังน้ำดับเพลิงเข้าปั๊มน้ำดับเพลิง โดยการหมุนวงล้อปิดวาล์วน้ำสีดำในทิศทางตามเข็มนาฬิกา1
9. เปิดวาล์วระบายน้ำทิ้ง (ดึงคันโยกลงให้ขนานไปกับแนวท่อน้ำทิ้ง)
20. ปิดวาล์วท่อส่งน้ำดับเพลิง ที่ใช้ส่งน้ำเข้าดับเพลิงในที่เกิดเหตุ
21. จัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่ เช่น สายส่งน้ำดับเพลิง หัวฉีดน้ำดับเพลิง เป็นต้น
โดยทั้งมีข้อควรระวังในการใช้งานอยู่อีกด้วย ดังนี้
1. อย่าจอดรถในที่พื้นอ่อนนิ่ม เพราะอาจจะทำให้ล้อรถจมได้
2. หลีกเลี่ยงการจอดรถบนเชิงลาด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรทำการหนุนล้อ
3. ควรเลือกจุดจอดที่รถสามารถเคลื่อนที่ออกไปได้ทันทีหากมีกรณีที่อาจจะไม่ปลอดภัย
4. เมื่อจะใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการดับเพลิง จะต้องเบรกมือทุกครั้ง หากไม่ดึงเบรกมือระบบจะไม่จ่ายกระแสไฟให้กับเครื่องมือและอุปกรณ์ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้
5. การเดินปั๊มสูบน้ำ (ปั๊ม PTO) ตัวเปล่าโดยที่ยังไม่ได้เปิดวาล์วให้น้ำในถังเก็บเข้าปั๊มได้ไม่เกิน 2 นาที หากเดินปั๊มตัวเปล่านานกว่านี้ อาจจะทำให้ปั๊มได้รับความเสียหายได้
6. หากไม่เปิดวาล์วส่งน้ำวนกลับถังในขณะที่น้ำยังไม่ออกจากปืนฉีดน้ำอาจจะทำให้ใบพัดภายในปั๊มน้ำได้รับความเสียหายได้
7. หากไม่ปิดวาล์วส่งน้ำวนกลับถังภายหลังจากที่น้ำออกจากปืนฉีดน้ำแล้ว จะมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของปั๊มน้ำลดลง เป็นผลความแรง และระยะในการฉีดน้ำลดลงไปด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : แบ่งปันเทคนิคการใช้งานรถดับเพลิง